29 กันยายน 2014 ·
สุภาพบุรุษ ท่านใดที่ยังคงเตะได้แรงและไกลอยู่แล้ว ก็กินเพื่อวัตถุประสงค์อย่างแรก คือ เพื่อสุขภาพ ว่างั้นเหอะ
สุภาพสตรี ก็กินเพื่อบำรุงร่างกาย ทำให้ผิวพรรณผ่องใส ไร้โรคาพยาธิ
เมื่อ พ.ศ.2510 ข้าพเจ้า ได้ไปที่จังหวัดอุดรธานี ได้ไปพบพระยาอุดรฯ ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุ 82 ปี ท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อท่านมีอายุ 52 ปี สุขภาพทรุดโทรมมาก ถึงกับต้องลาออกจากราชการก่อนเกษียณ แต่ปัจจุบันท่านสามารถเล่นกอล์ฟ แทงบิลเลียด และเต้นรำได้ดุจคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าถามท่านว่าท่านมีอะไรดี ถ้าไม่สงวนขอได้ไหม ท่านได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พระธุดงค์รูปหนึ่งเป็นผู้บอกตำรายานี้ให้กับท่านได้รับประทานยาขนานนี้มาเป็นเวลากว่า 30 ปีและข้าพเจ้าก็ได้ทำยาขนานนี้รับประทานมา 8-9 ปีแล้ว รู้สึกว่าได้ผลดีมาก จึงได้แนะนำยานี้ไปทั่ว จนบางคนถึงกับขนานนามข้าพเจ้าว่า “อาจารย์กล้วยน้ำว้าดองน้ำผึ้ง” ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ถือ เพราะถือว่าเอาของดีมาเผยแพร่ ผมจะคัดลอกข้อความเดิมมาเลยนะครับ ตามนี้
เอากล้วยน้ำว้าชนิดงอมจัดๆ คือ เปลือกกล้วยเริ่มมีจุดดำบ้างแล้ว มาปอกเปลือกออกแล้วหั่นเป็นชิ้นบางๆ ดุจหั่นแตงกวา ปริมาณ 10 ผล ต่อน้ำผึ้ง 1 ขวดกลม (750 ml.) นำส่วนผสมมาใส่ขวดโหลดองเอาไว้ อย่าใส่ให้เต็มโหล ประเดี๋ยวจะฟูและล้นมานอกโหล ต้องดองให้ครบ 3 เดือนขึ้นไป จึงจะใช้ได้ระหว่าง 3 สัปดาห์แรก กล้วยจะลอยอยู่ข้างบนและจะมีรา จงใช้ไม้ตะเกียบคนให้กล้วย ข้างบนจมลงไปอยู่ด้านล่างต่อไปก็จะมีราขึ้นอีก หมั่นคนจนไม่มีราเกิดขึ้นอีก เมื่อครบ 3 เดือนแล้ว จงเอาผ้าบางมากรองโดยไม่ต้องคั้นน้ำจะใส มีรสเปรี้ยว เอากากกล้วยทิ้งไป กินแต่เฉพาะส่วนที่เป็นน้ำกินคืนละ 1 ถ้วยชาจีน หรือประมาณ 4 ช้อนคาว กินทุกคืนก่อนนอน ถ้ารับประทานมากเกินไปจะร้อนจนทนไม่ไหว เมื่อกินไปได้ 15 วัน ท่านจะรู้สึกตัวทันทีว่า ร่างกายอบอุ่นและกระชุ่มกระชวยผิดธรรมดา เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ “รีดเดอร์ไดเจสต์” ของต่างประเทศเขาก็มีอยู่บทหนึ่งที่กล่าวว่า เมื่อเชื้อเห็ดราของผลไม้ผสมกับน้ำผึ้งแล้ว จะทำให้เกิดปฏิกิริยา คือสามารถสร้างฮอร์โมนในร่างกายของคนเราได้ คือต้องการเชื้อเห็ดราของกล้วยนั่นเอง มาตรงกับยาอายุวัฒนะของไทยเรา
เมื่อท่านลองแล้วท่านจะเห็นผลเอง ยาขนานนี้ไม่แต่เป็นยาอายุวัฒนะเพียงอย่างเดียว ยังเป็นยาเตะปี๊บพังด้วย คำพังเพยของไทยเรากล่าวว่า “ตากแดดตากลม เพราะอ้ายนมสองเต้า ลำบากยากเข็ญ เพราะเอ็นอันเดียว” ก็คงเป็นจริงอยู่
ที่มา: Siriwan Monrit
กดถูกใจ (Like) ติดตามข่าวสารจาก สวัสดี