“อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” แปลว่า
พระผู้ตรัสรู้ธรรมเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบด้วยพระองค์เอง
พอรุ่งอรุณก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เทวดาฝ่ายฟ้อนร่อนรำถวาย
เป็นพุทธบูชาเมื่อพระมหาบุรุษทรงชนะมารแล้วนั้น พระอาทิตย์
กำลังจะอัสดง ราตรีเริ่มย่างเข้ามา พระมหาบุรุษยังคงประทับนั่ง
ไม่หวั่นไหวที่โพธิบัลลังก์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิ
ให้เกิดในพระทัยด้วยวิธีที่เรียกว่า เข้าฌาน
แล้วทรงบรรลุญาณฌาน คือ วิธีทำจิตให้เป็นสมาธิ
คือให้จิตแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่านคิดโน่นคิดนี่อย่างปุถุชนธรรมดา
ส่วน ญาณ คือ ปัญญาความรู้แจ้ง เปรียบให้เห็นความง่ายเข้าก็คือ
แสงเทียนที่นิ่งไม่มีลมพัดคือ “ฌาน” แสงสว่างอันเกิดจากแสงเทียน
เท่ากับ ปัญญา (ญาณ)พระมหาบุรุษทรงบรรลุญาณที่หนึ่งในตอนปฐมยาม
(ประมาณ ๓ ทุ่ม) ญาณที่หนึ่งนี้เรียกว่า “บุพเพนิวาสานุสติญาณ”
หมายถึง ความรู้แจ้งถึงอดีตชาติหนหลังทั้งของตนและของคนอื่น
พอถึงมัชฌิมยาม (ประมาณเที่ยงคืน) ทรงบรรลุญาณที่สอง
ที่เรียกว่า “จุตูปปาตญาณ” หมายถึง ความรู้แจ้งถึงความจุติ
คือดับและเกิดของสัตวโลก ตลอดถึงความแตกต่างกันที่เรียกว่า “กรรม”
พอถึงปัจฉิมยาม (หลังเที่ยงคืนล่วงแล้ว)ทรงบรรลุญาณที่สามคือ
“อาสวักขยญาณ” หมายถึง ความรู้แจ้งถึงความสิ้นไปของกิเลส
และอริยสัจ ๔ คือ ความทุกข์ เหตุเกิดของความทุกข์ ความดับทุกข์
และวิธีดับทุกข์การได้
บรรลุญาณทั้งสามของพระมหาบุรุษนั้นเรียกว่า ตรัสรู้ความเป็นพระพุทธเจ้า
ซึ่งเกิดขึ้นในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หลังจากนั้น พระนามว่า สิทธัตถะก็ดี
พระโพธิสัตว์ก็ดี ที่เกิดใหม่ตอนก่อนตรัสรู้ว่าพระมหาบุรุษก็ดี ได้กลายเป็น
พระนามในอดีตหนหลัง เพราะตั้งแต่นี้ต่อไปทรงมีพระนามใหม่ว่า
“อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” แปลว่า พระผู้ตรัสรู้ธรรมเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสโดย
ชอบด้วยพระองค์เองเหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นที่มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
กวีจึงแต่งความเป็นปุคคลาธิษฐานเฉลิมพระเกียรติพระพุทธเจ้าว่า
นำสัตว์ มนุษย์นิกร และทวยเทพในหมื่นโลกธาตุ หายทุกข์ หายโศก
สิ้นวิปโยคจากผองภัย สัตว์ทั้งหลายต่างมีเมตตาจิตต่อกันทุกถ้วนหน้า
เว้นจากเวรานุเวร อาฆาตมาดร้ายแก่กันทวยเทพต่างบรรเลงดนตรีสวรรค์ ร่ายรำ
ขับร้อง แซ่ซ้องถวายเป็นพุทธบูชาและกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณกันทั่วหน้า
อ้อม เอง
กดถูกใจ (Like) ติดตามข่าวสารจาก สวัสดี